วันพุธที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2557

โรคหน้าหนาวกับดวงตา




เมื่อลมหนาวมาเยือน โอกาสเกิดโรคภัยไข้เจ็บช่วงหน้าหนาวก็เพิ่มขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่สุขภาพทั่วไป กลุ่มอาการตาแห้ง ก็เป็นอีกกลุ่มที่หลายคนมองข้าม
"นพ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ" จักษุแพทย์โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ให้ข้อมูลว่า อาการตาแห้งเกิดจากสภาพแวดล้อมที่แห้ง ทำให้ประชาชนประสบกับอาการดังกล่าว ซึ่งมีข้อบ่งชี้ ดังนี้ 1.มีอาการปวดแสบปวดร้อนบริเวณดวงตา 2.ตาแดง 3.น้ำตาไหล 4.กระพริบตาบ่อย และ 5.ตาฝ้าฟาง โดยกลุ่มที่พบบ่อยมากที่สุด คือ ผู้สูงอายุ คนที่ใส่คอนแทคเลนส์ เด็กและผู้ที่ทำงานกลางแจ้ง เป็นต้น โดยการแก้ปัญหา ทำได้ด้วยการประคบเย็นบริเวณดวงตา โดยนำผ้าไปแช่ในตู้เย็น หรือชุบน้ำเย็นมาวางทาบโดยไม่ต้องกด ขยี้ หรือคลึง ซึ่งการวางผ้านั้นให้วางตั้งแต่ขมับซ้ายมาขมับขวาทาบทับหน้าผาก ตา และจมูก จนกว่าผ้าจะแห้ง หลังจากนั้น ให้นำผ้ามาชุบน้ำเย็นต่อ ซึ่งต้องทำติดต่อกันประมาณ 20 นาที และทำวันละ 2 ครั้ง จะช่วยให้อาการดีขึ้น อย่างไรก็ตาม หากใช้วิธีประคบเย็นแล้วอาการตาแห้งยังไม่หาย ผู้ป่วยควรรีบไปพบจักษุแพทย์ทันที
สำหรับการดูแลดวงตาไม่ให้มีอาการตาแห้ง ทำได้ 4 วิธี คือ 1.หลีกเลี่ยงการออกแดด 2.สวมแว่นกันแดดหรือหมวกทุกครั้งที่ออกแดด และ 3.ดื่มน้ำก่อนออกจากบ้านทุกครั้งเพื่อทำให้ตาชุ่มฉ่ำ และเพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำเวลาอยู่นอกบ้าน และ 4.รับประทานอาหารที่มีวิตามินเอสูง เช่น ผักสีเขียว ผักบุ้ง มะละกอ และแครอต เนื่องจากในกลุ่มเด็กนั้นมีอาการตาแห้งเกิดจากการไม่ได้รับประทานผักและผลไม้
"จริงๆ แล้วอาการตาแห้งไม่ได้ส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อดวงตามากนัก แต่อาการตาแห้งจะสร้างความรำคาญให้กับผู้ป่วยมากกว่า ดังนั้น ประชาชนจึงควรที่จะรู้จักกับอาการตาแห้งเพื่อจะได้ไม่เกิดอาการวิตกกังวลจนเกินเหตุ รวมถึงจะได้สามารถตั้งรับ รู้วิธีการรักษาเบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง โดยสามารถสังเกตอาการง่ายๆ คือ หากรู้สึกว่า มีการกะพริบตาอยู่ตลอดเวลาก็ให้สงสัยว่าอาจเข้าข่ายอาการนี้แล้ว" นพ.ฐาปนวงศ์กล่าว
ด้าน กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ออกมาเตือนกลุ่ม 6 โรคที่พบบ่อยในฤดูหนาวทุกปี ได้แก่ ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม หัด อีสุกอีใส มือเท้าปาก และอุจจาระร่วง โดยเฉพาะโรคระบบทางเดินหายใจ มีโอกาสป่วยง่ายสุด "นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์" ปลัด สธ. บอกว่า ช่วงฤดูหนาวแทบทุกปีจะพบปัญหากลุ่ม 6 โรคอยู่เสมอ โดยข้อมูลตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2555-กุมภาพันธ์ 2556 สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค รายงานพบผู้ป่วย 6 โรคฤดูหนาวรวม 471,172 ราย เสียชีวิต 355 ราย
โรคที่มีความรุนแรงมากที่สุด คือปอดบวม เสียชีวิต 350 ราย จากที่ป่วยทั้งหมด 64,155 ราย รองลงมาคือไข้หวัดใหญ่ป่วย 23,255 ราย เสียชีวิต 1 ราย อุจจาระร่วง 351,611 ราย เสียชีวิต 4 ราย โรคมือเท้าปาก 13,823 ราย โรคอีสุกอีใส 17,251 ราย และโรคหัด 1,077 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเป็นเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น หอบหืด โรคปอดเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคตับ โรคไต เบาหวาน โรคโลหิตจาง เนื่องจากมีภูมิต้านทานโรคต่ำ จึงติดเชื้อง่าย และอาการรุนแรงกว่าคนทั่วไป
สิ่งสำคัญในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงป่วยง่าย จะต้องไม่คลุกคลีใกล้ชิดและไม่ใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้ป่วยที่เป็นหวัด ไอ จาม เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ จาน โดยเฉพาะครอบครัวที่มีเด็กเล็ก รวมทั้งมีผู้ป่วยที่อยู่ในความดูแลเช่นผู้ป่วยอัมพาต ผู้สูงอายุที่ป่วยและช่วยตัวเองไม่ได้ ขอให้เพิ่มการดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ จุดที่ต้องเพิ่มความอบอุ่นเป็นพิเศษคือ ศีรษะ คอ และหน้าอก ซึ่งจะช่วยลดโอกาสเกิดโรคใน 6 กลุ่มได้

วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2557

ดวงจันทร์สองดวง


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วสมัยที่โลกยังมีพระจันทร์ 2 ดวงดวงจันทร์ดวงหนึ่งเป็นผู้หญิงและอีกดวงเป็ผู้ชายดวงจันทร์ทั้ง 2 ดวงนี้ต่างรักกันและไม่เคยแยกหางจากกันทุกๆคืนเมื่อมองขึ้นไปบนฟ้าจะเห็นดวงจันทร์ทั้งคู่อยู่เคียงกัน
...แต่แล้ววันหนึ่ง...
ดวงจันทร์ผู้หญิงก็ได้ไปพบกับดวงอาทิตย์ทำให้ดวงจันทร์ผู้หญิงหลงใหลในแสงเจิดจ้าของดวงอาทิตย์จนเลื่อนตัวตามดวงอาทิตย์ไปทีละน้อย ทีละน้อยและแล้วก็แยกมาจากดวงจันทร์อีกดวงนึงในที่สุดเมื่อค่ำคืนมาถึงจึงมีดวงจัทร์ผู้ชายเหลืออยู่เพียงดวงเดียวดวงจันทร์ผู้ชายจึงได้แต่ออกตามหาดวงจันทร์ผู้หญิงไปทุกหนแห่ง คืนแล้วคืนเล่าวันเวลาล่วงผ่านไปดวงจันทร์ผู้ชายก็ยังไม่สามารถหาดวงจันทร์ผู้หญิงเจอได้ด้วยความคิดถึงและอยากพบดวงจันทร์ผู้หญิงเป็นที่สุดทำให้ดวงจันทร์ผู้ชายคิดว่าหากเรามัวแต่ตามหาอยู่อย่างนี้คงไม่ได้เจอหญิงที่เรารักเป็นแน่แท้จึงตัดสินใจระเบิดตัวเองเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทั่วจักรวาลเพื่อให้ชิ้นส่วนแต่ละชิ้นออกตามหาดวงจันทร์อีกดวงนั้น
...เมื่อเวลาผ่านไป...
ทำให้ดวงจันทร์ผู้หญิงได้เห็นถึงความจริงว่าแม้ว่าดวงอาทิตย์จะส่องแสงเจิดจ้าสวยงามสักเพียงใดแต่ดวงอาทิตย์ก็มิได้ส่องแสงเจิดจ้าแต่เพียงเธอเท่านั้นแต่ยังส่องแสงไปที่ดาวดวงอื่นๆอีกมากมายดวงจันทร์ผู้หญิงจึงกลับมาหาดวงจันทร์ผู้ชายอีกครั้งแต่หาเท่าไหร่ก็หาดวงจันทร์ผู้ชายไม่พบ
...ต่อมาจึงได้รู้ว่า...
ดวงจันทร์ผู้ชายยอมระเบิดตัวเองเพื่อตามหาตนจดกระจัดกระจายเป็นเศษเสี้ยวเล็กๆทำให้ดวงจันทร์ผู้หญิงได้รู้ว่าไม่มีวันที่จะได้เจอกับดวงจันทร์ผู้ชายอีกต่อไปแล้ว จึงได้แต่โศกเศร้าเสียใจแต่ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ที่ดวงจันทร์ผู้ชายมีให้กับดวงจันทร์ผู้หญิงทุกค่ำคืนจึงพยายามเปล่งประกายแสงที่ยังเหลืออยู่น้อยนิดของตนส่งให้ถึงดวงจันทร์ผู้หญิงเกิดเป็นแสงพร่างพรายเต็มท้องฟ้าเคียงข้างดวงจันทร์จนเกิดเป็นดวงจันทร์และดวงดาวให้เรืองแสงเห็นจนถึงทุกวันนี้
หากเรามองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืนวันไหนที่เห็นจันทร์สวยสดวันนั้น คุณก็จะไม่เห็นดาวดวงเล็กดวงน้อยหากวันไหนคุณเห็นดาวเปล่งประกายเต็มท้องฟ้าวันนั้นคุณก็จะไม่พบดวงจันทร์
...สุดท้าย...เขาและเธอก็ไม่พบกันตลอดกาล

ก่อนที่คุณจะตัดสินใจเลือกใครที่ดีกว่า อย่าลืมว่ายังมีคนที่คุณเคยรักเค้า และ เค้าก็รักคุณอยู่ตลอดไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าเขาคนนั้น อาจจะไม่ได้แม้เพียงเสี้ยวหนึ่งของคนใหม่เลยก็ตาม

วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2557

ตึกโบราณ...ภูเก็ต


 
เมืองเก่าภูเก็ต ชิโนโปรตุกีส
เดินทางออกจากสนามบินภูเก็ตเพื่อไปศึกษาประวัติศาสตร์และความรุ่งเรืองอันยาวนานอีกเมืองหนึ่งของไทยโดยหนึ่งในรอยอดีต อันรุ่งเรืองของภูเก็ตตึกเก่าแบบชิโน-โปรตุกีสถูกสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2446 เนื่องจากการทำเหมือง แร่ที่เติบโตทำให้ชาวจีนและชาวตะวันตกต่างหลั่งไหลเข้ามาที่เมืองภูเก็ตเป็นจำนวนมาก เมื่อเข้าสู่เขตเทศบาล เมือง ภูเก็ตสิ่งแรกที่ผู้ไปเยือนจะรู้สึกสะดุดตาก็คือตึกเก่าที่ตั้งตระหง่านอยู่ในย่านการค้าเก่าเเก่ของเมือง เป็น อาคารสไตล์ "ชิโนโปรตุกีสที่ผสมผสานเอาความเป็นศิลปะตะวันตกและตะวันออกเข้าไว้ด้วยกันอย่าง กลมกลืน จนเป็นเอกลักษณ์ ที่โดดเด่นของเมืองภูเก็ต ตึกเก่าเหล่านี้กระจายอยู่ทั่วตัวเมืองภูเก็ต สามารถเดินชมได้อย่างต่อ เนื่อง นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารอร่อยหลายเจ้าให้เที่ยวไปกินไปอย่างเพลิดเพลินและทางเทศบาล เมืองภูเก็ต ก็ได้เห็นถึงความสำคัญของ สถาปัตยกรรมเหล่านี้ โดยได้ทำการอนุรักษ์รูปแบบสถาปัตยกรรมชิโนโปรตุกีสนี้ ไว้และจัดให้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือก ของการท่องเที่ยว จัดให้มีเส้นทางเดินชมเมืองเก่าภูเก็ต เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ สัมผัสกับความสวยงามของบ้านเรือนเก่าแก่ของภูเก็ตและสถาปัตยกรรมชิโนโปรตุกีส ที่สวยงาม พร้อมๆกับได้ สัมผัสวัฒนธรรมและวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ ของคนภูเก็ตและที่สำคัญอาหารอร่อยเลื่องชื่อการเดิน ชมเมืองเก่า เสน่ห์แห่ง ชิโนโปรตุกีส เป็นเส้นทางประวัติศาสต ที่ควรค่าแก่การศึกษายิ่ง
แม้ว่าตึกเก่าเหล่านี้จะกระจายอยู่ทั่วเมืองภูเก็ต แต่ย่านที่มีอาคารเก่าหนาแน่น คือ ถ. ดีบุก กระบี่ ถลาง และ เยาวราช เนื่องจากถนนเหล่านี้เป็นย่านเก่าของภูเก็ตประวัติ ในอดีตเมืองท่าสำคัญทางฝั่งตะวันตกของแหลมมลายู มีชาวจีนเข้ามาค้าขายกันมาก ก่อนตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก เช่น เมืองมะละกา มีโปรตุเกส ฮอลันดา และอังกฤษ ผลัดเปลี่ยนกันครอบครอง และนำรูปแบบศิลปวัฒนธรรมเข้ามาเผยแพร่ สถาปัตยกรรมจึงมีลักษณะ ผสมผสานกันระหว่างศิลปะตะวันตกและศิลปะตะวันออก เรียกว่า อาคารแบบโคโลเนียล จากนั้นก็ส่งอิทธิพลไป ตามเมืองท่าต่างๆอย่างสิงคโปร์ และปีนังซึ่งมีสายสัมพันธ์โดยตรงกับภูเก็ต
รูปแบบตึกสิ่งน่าสนใจ
สถาปัตยกรรมแบบชิโน-โปรตุกีสแบ่งเป็นสองประเภทคือ
ตึกแถว หรือ "เตี้ยมฉู่" และคฤหาสน์หรือ "อั่งม้อหลาว อั่งม้อหลาวเป็นภาษาจีนฮกเกี้ยน "อั่งม้อ" แปลว่า ฝรั่ง หรือชาวต่างชาติ ส่วนคำว่า "หลาว" แปลว่า ตึกคอนกรีต อั่งม้อหลาว ก็คือคฤหาสน์แบบฝรั่งที่นายหัวเหมืองแร่ของ ภูเก็ตสร้างเป็นที่อยู่อาศัยในสมัยนั้น โดยบ้านหลังแรกที่สร้างขึ้นตามแบบชิโน-โปรตุกีส โดยช่างชาวจีนจากปีนัง ก็คือ บ้านชินประชาของพระพิทักษ์ ชินประชา นายเหมืองต้นตระกูลตัณฑวนิชตั้งอยู่ถนนกระบี่ ถือว่าเป็นต้น แบบของบ้านคหบดีจีนที่กระจายอยู่ทั่วทั้งเมืองภูเก็ต ตึกแถวเป็นอาคารสองชั้นกึ่งร้านค้ากึ่งที่อยู่อาศัย ลักษณะ ลึกและแคบ ชั้นล่างแบ่งพื้นที่ใช้สอยไปตามความลึกได้ถึงห้าส่วนด้านหน้าเป็นร้านค้าหรือสำนักงาน ถัดไปเป็น ห้องรับแขก ห้องพักผ่อน ห้องอาหาร ห้องครัว ภายในอาคารมักมีฉิ่มแจ้ หรือบ่อน้ำบาดาลหนึ่งบ่อและเจาะช่อง ให้อากาศถ่ายเทและแสงส่องเข้าอาคาร ตึกแถวในภูเก็ตจึงเย็นสบาย ส่วนที่ชั้นสองเป็นห้องนอนหน้าตึกแถวมีทาง เดินเท้า ทำเป็นช่องซุ้มโค้งเชื่อมกันไปตลอด ทั้งแนวตึกแถว เรียกว่า อาเขต (arcade) โดยมีชั้นบนยื่นล้ำ ออกมา เป็น หลังคากันแดดกันฝนซึ่งตกเกือบตลอดปี นับเป็นสถาปัตยกรรมที่สัมพันธ์กับ สภาพภูมิอากาศอีกทั้งยัง แสดง ให้เห็นถึงความเอื้ออาทร ของเจ้าของบ้านกับผู้สัญจร ที่ชั้นสองด้านหน้าอาคารเน้นการ เจาะช่องหน้าต่างเป็น ซุ้มโค้งคูหาละสามช่อง ขนาบข้างด้วยเสาแบบกรีก และโรมัน บนพื้นผนังตกแต่งด้วยลายปูนปั้นทั้งแบบจีน และ ตะวันตก ผสมกันอย่างลงตัว สามารถเดินชมได้ทั่วทั้งถนนถลาง ดีบุก พังงา กระบี่และเยาวราชนอกจากนี้ย่าน โคมเขียว โคมแดงในอดีตที่ซอยรมณีย์ก็มีตึกสีสันสวยแปลกตากว่าถนนไหนๆ
เส้นทางการเดินชมตึกเก่าชิโนโปรตุกีส
ช่วงที่ 1 ณ ถนนภูเก็ต ถนนรัษฎา และถนนระนอง
เริ่มจากศูนย์รวมข่าวพรหมเทพ เริ่มจากศูนย์รวมข่าวพรหมเทพ ซึ่งตั้งอยู่หัวมุมถ.พังงาตัดกับถ.ภูเก็ต เมื่อเดินลง มาตามทิศใต้ เลี้ยวขวาเข้าถ.รัษฎาไปจนถึงวงเวียนสุริยเดช และตรงไปตามถ.ระนอง ผ่านตลาด จนถึงบริษัท การบินไทยซึ่งช่วงนี้จะได้พบกับตึกสวยงามมากมาย อาทิ ศูนย์รวมข่าวพรหมเทพ อาคารสีขาว 2 ชั้น ที่โดดเด่น ด้วยหอนาฬิกาสูง 4 ชั้น มีหลังคาคล้ายรูปหมวกตำรวจสมัยก่อน ช่องประตูหน้าต่างแบ่งเป็นช่องโค้งมีเสาอิงแบ่ง เป็นช่วง ประดับลายปูนปั้นบนยอดซุ้มโค้งสวยงามและโรงแรมถาวร โรงแรมเก่าแก่ ที่เมื่อเข้าไปภายในโถง โรงแรมและส่วนคอฟฟี่ชอป จะได้รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเมืองภูเก็ตผ่านนิทรรศการ ภาพถ่าย และมีเครื่องเรือน ตู้โทรศัพท์ เครื่องฉายภาพยนตร์ เครื่องแต่งกาย ข้าวของเครื่องใช้ของคนงานในเหมืองให้ได้ชมอีกด้วย
ช่วงที่ 2 ถนนพังงา ถนนภูเก็ต และถนนมนตรี
เริ่มต้นที่มุมถ.ระนองตัดกับถ.เยาวราช บริเวณวงเวียนสุริยเดช เดินไปตามถ.เยาวราช 70 ม.เลี้ยวขวาเข้าถนนพังงา จนถึ สี่แยกตัดกับถนนภูเก็ต ซึ่งช่วงนี้อาจเลี้ยวซ้ายตามถ.ภูเก็ต ข้ามไปสี่แยกถ.มนตรีแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถ.มนตรี เส้นทางช่วงนี้เป็นเส้นที่มีตึกแถวเก่า ศาลเจ้าเก่า อาคารสาธารณะ อาคารราชการ ซึ่งแต่ละที่ล้วนแล้วแต่มี สถาปัตยกรรมสไตล์ชิโนโปรตุกีสที่งดงาม
ช่วงที่ 3 ถนนถลางและซอยรมณีย์
เป็นถนนสายประวิติศาสตร์อันเก่าแก่ ตรงช่วงนี้จะมีอาคารตึกแถวเก่าที่มีรูปแบบเดิมๆเกาะกลุ่มกันอยู่เป็นจำนวนมากโดยมีจุดเด่นอยู่ตรงที่มีการเปิด ช่องทางเดินเอาไว้เหมือนในอดีต ซึ่งเส้นทางนี้เริ่มต้นจากสี่แยกถ.ถลางตัดกับถ.ภูเก็ตไปจนสุดสี่แยกตัดกับ ถ.เยาวราช มีตึกแถวกว่า 151 คูหาโดยมีตึกแถวที่น่าสนใจตรงช่วงตึกแถวบ้านเลขที่ 107 ถึง 129ที่ตัวตึกมี รูปแบบการตกแต่งช่องหน้าต่างโค้งตามแบบสถาปัตยกรรมยุคนีโอคลาสสิค มีลวดลายที่ดงามเน้นธรรมชาติเถาไม้ ใบไม้ และรูปสัตว์ และก็มีตึกแถวตรงฝั่งเลขคู่ช่วงปลายถนน ซึ่งตึกแถวบริเวณนี้มีลักษณะเด่นอยู่ที่ประตูด้านหน้า เป็นแบบบานเฟี้ยมไม้เก่าแก่ ช่วงเสาจะกว้างเท่ากับตึก 2 คูหารวมกัน มีการนำศิลปะการเจาะช่องหน้าต่างและ ลวดลายปูนปั้นแบบอาร์ตเดโคมาใช้ได้อย่างกลมกลืนและสวยงาม
ช่วงที่ 4 ถนนกระบี่ และถนนสตูล
เริ่มจากถ.กระบี่บริเวณแยกถ.เยาวราช เดินไปทางตะวันตกจนถึงสามแยกตัดกับถ.สตูล เดินตรงไปถึงบ้าน คุณประชา ตัณฑวณิช ย้อนกลับมาจนถึงสามแยกตัดกับถ.ดีบุก เส้นทางสายนี้มีอาคารเก่าที่ชวนชม อย่างอาคาร พิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยหัว เป็นตึก 2 ชั้น ชั้นล่างมีซุ้มโค้งเตี้ยขนาดใหญ่ 3 ซุ้ม มีเสากลมรับโค้ง หัวเสาประดับ ด้วยลายบัวแบบกึ่งไอโอนิค และคอรินเธียน ผนังอาคารเซาะร่องขนาดใหญ่ เรียกว่า Rustication ชั้นบนมี ซุ้ม หน้าต่าง 3 ซุ้ม มีช่องหน้าต่าง 2 ช่องกรอบหน้าต่างด้านบนเป็นจั่วโรมัน บานหน้าต่างไม้สี่เหลี่ยม มีลวดลาย เรขาคณิต เหนือซุ้มช่วงกลางมีหน้าจั่วปูนปั้นรูปค้างคาว และช่วงถนนนี้ยังมีร้านอาหารท้องถิ่นจำนวนมาก เพื่อว่า เดินไปแล้วหิวก็แวะเช้าไปชิมกันได้ ไม่ว่าจะเป็นร้านสุนทรโอชาขายข้าวต้มและอาหารพื้นเมือง ร้านขนมจีนป้ามัย ร้านหมี่แป๊ะแถว
ช่วงที่ 5 ถนนเยาวราช ตรอกสุ่นอุทิศ ถนนดีบุก
ช่วงนี้เริ่มจากแยกถ.ดีบุกตัดกับถ.สตูล เดินตามถ.ดีบุกจนถึงสี่แยกตัดกับถ.เยาวราช พอเลี้ยวขวาเข้า ถ.เยาวราช จะได้สัมผัสกับบรรยากาศตึกเก่าและแวะลิ้มรสอาหารอร่อยในตรอกสุ่นอุทิศ แล้วย้อนกลับมา สี่แยกเลี้ยวเข้า ถ.ดีบุก อีกช่วงหนึ่งจะเข้าสู่ซอยรมณีย์ การเดินชมเมืองในช่วงนี้จะได้สัมผัสกับความหลากหลาย ของตึกชิโน โปรตุกีส ที่หาดูได้ยาก อย่างที่บ้านหลวงอำนาจนรารักษ์ เป็นบ้านที่มีความงดงามโดดเด่นอยู่ที่ลายปูนปั้นตั้งแต่ หัวเสาแบบคอมโพสิต และช่วงคานเหนือเสา เป็นศิลปะแบบกรีกยุคคลาสสิคผสานกับปูนปั้นลายค้างคาว ลายหงส์ ลายเมฆ รวมทั้งลายใบไม้ และผลไม้ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์มงคลของคนจีน
และสุดท้าย ช่วงที่ 6 ถนนกระษัตรี
ช่วงนี้เป็นช่วงต่อจากเส้นทางเดินที่ซ.รมณีย์ เลี้ยวซ้ายทะลุออกถ.ถลาง เมี่อถึงสี่แยกเลี้ยวซ้ายเดินตาม ถ.เทพกระษัตรี พอถึงแยกตัดกับถ.ดีบุก อาจแวะชมบ้านเก่าแล้วย้อนออกมาตามถ.เทพกระษัตรีอีกครั้งจนไปสิ้น สุดเส้นทางที่คฤหาสน์ตระกูลหงส์หยก หรือบ้านหลวงอนุภาษภูเก็ตการ ซึ่งเป็นบ้านที่สร้างในสมัยร. 7 ด้านหน้า อาคารเป็นรูปโค้งครึ่งวงกลมกลมขนาดใหญ่ที่รถยนต์เข้าไปจอดเทียบได้ ชั้นล่างเป็นซุ้มโค้งเตี้ย 3 โค้ง หัวเสา จะเป็นแบบดอริก ผนังเซาะเป็นร่องลึก คล้ายแนวหินก่อ ชั้นบนเป็นระเบียง มีลูกกรงปูนปั้นประดับ หลังคาทรง ปั้นหยา ด้านปีกซ้ายมีช่องแสงเป็นรูปโค้งครึ่งวงกลมประดับด้วยบานเกล็ดไม้ ด้านปีกขวาตกแต่งช่องแสงด้วย กระจกสีต่างๆ กรุในกรอบสี่เหลี่ยมมีรูปวงกลมอยู่ข้างใน นับว่าเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ งดงามทางด้าน สถาปัตยกรรมเป็นอย่างมาก
จากเรื่องราวของตัวตึกเก่าที่ยังคงมีชีวิตชีวาของผู้คนเด่นชัด อีกความน่าสนใจในย่านนี้ก็คือ การชิมอาหาร พื้นเมืองภูเก็ต ซึ่งอาหารส่วนใหญ่เป็น อาหารจีนฮกเกี้ยนและปีนัง อาหารเผ็ดร้อนแบบไทยภาคใต้และ อาหารมุสลิม
มื้อเช้า
คนภูเก็ตไม่ค่อยกินข้าวเป็นอาหารเช้า ส่วนมากจะนิยมเป็นติ่มซา หรือโรตี มะตบะ กับชาร้อน สำหรับร้านติ่มซำ แนะนำร้านสมชายกิตติ ที่ขายทั้งติ่มซำกลั้วกับกาแฟร้อนสูตรโบราณที่นี่เขาเสิร์ฟทีเดียวนับสิบชนิด ไม่ว่าจะ เป็นขนมจีบ ซาลาเปา ฮะเก๋า สาหร่าย ปูทอด ลูกชิ้นปลา ฯลฯ จะเลือกกินอะไรก็ได้ คิดเงินตามจำนวน ถ้วย เปล่าเท่านั้นส่วนโรตีแกงข้ามสู่ถนนถลาง เดินไปเพียงไม่กี่เมตร ด้านซ้ายมือ ก็จะพบกับรา้นอรุณโภชนา ร้านชื่อ ดังย่านถนน ถลาง เปิดขายตั้งแต่ 6.30 - 17.00 น. ซึ่งเป็นร้านขายอาหารของมุสลิม ทั้งโรตีแกง มีให้เลือก ทั้งแกงเนื้อ แกงไก่ รวมถึงเมนูเด็ดอื่นๆที่เจ้าของร้านคุณมนัสดา ดา เจ้าของ ร้านอรุณโภชนา แนะนำมา ทั้ง ซุปเนื้อ ข้าวหมกไก่ และเมนููสุขภาพ ข้าวยำปัตตานี และมะตะบะได่ ที่ได้รับรางวัลโดยกรมสุขภาพ
ช่วงเที่ยง-บ่าย
ส่วนมื้อเที่ยงก็นิยมกินหมี่กัน อย่างหมี่ฮกเกี้ยน เส้นหมี่เหลืองกลมใหญ่ผัดซีอิ๊ว หรือนำมาปรุงเป็นหมี่น้ำ ใส่ซุป และเครื่องซีฟู้ด หมี่หุ้นปาฉ่างก็รสชาติดี เป็นเส้นหมี่ขาวผัดแห้งโรยหอมเจียว กินกับซุปกระดูกหมูช่วยให้คล่องคอ สำหรับคนที่ชอบเครื่องในต้องโลบะ สารพัดเครื่องในหมูปรุงกับเครื่องพะโล้แล้วทอดกินกับเต้าหู้ทอด และน้ำจิ้มรส หวาน หรืออาหารชื่อแปลกโอต๊าว หน้าตาคล้ายหอยทอด ใช้หอยนางรมผัดกับแป้ง เผือก และไข่ ที่อร่อยและ แนะนำให้ชิมก็คือกะหรี่ไหมฝัน เส้นหมี่กับแกงกะหรี่ แต่เจ้าเส้นหมี่ที่ว่าหน้าตาค่อนไปทางขนมจีนเส้นเล็กเสีย มากกว่าราดด้วย แกงกะหรี่ไก่ ใส่เลือดหมู เต้าหู้ ผักบุ้ง ถั่วงอก ก่อนกินอย่าลืมบีบมะนาวเพิ่มรสชาติ จะว่าไป รสชาติก็คล้ายกับข้าวซอยของทางเชียงใหม่ในภาคเหนืออยู่เหมือนกัน แนะนำร้านสมจิตต์ หมี่ฮกเกี้ยน แถวๆ หอนาฬิกาน้ำที่เรียกว่าหมี่เช็ค ซึ่งพี่สมจิตต์ ปัญจะมีดิถี เจ้าของร้านบอกว่า เป็นสูตรมาจากรุ่นอากงคือแป๊ะหัง ที่มา เปิดขายเป็นเจ้าแรกในภูเก็ต กว่าจะตกมาถึงรุ่นที่สามก็ 60 กว่าน้ำซุปที่นี่หวานหอมจนเป็นเอกลักษณ์ ต้มด้วย กุ้งทั้งเปลือก ใครสั่งหมี่แห้งอย่าลืมขอน้ำซุปมาซดพร้อมกันไปด้วยบ่าย ๆ หาก เหนื่อยหรือหิว ที่แยก ถนนเยาวราชตัดกับถนนดีบุกก็เป็นแหล่งรวมของกินพื้นเมืองชั้นดี ทั้งโลบะที่เป็นส่วนของหัวหมู และเครื่องใน ต้มพะโล้ จากนั้นนำไปทอดจนเหลืองกรอบ ถ้าอยากลองแห่จี่ที่เป็นแป้งผสมถั่วงอก โรยหน้าด้วยกุ้งสดทอด หรือ เกี้ยน ที่ทำจากหมู ปู กุ้ง สับรวมกับมันแกวและเผือก ห่อด้วยแผ่นฟองเต้าหู้แล้วทอดจนน่ากินก็สั่งรวมกันได้ ได้ จิ้มกับน้ำจิ้มสูตรเด็ดที่ถามอย่างไรพี่เขาก็ไม่ยอมบอกสูตร อร่อยจนลืมไปเลยว่าเพิ่งกินเที่ยงมา

ใกล้ๆกันบนถนนเยาวราชที่ซอยสุ่นอุทิศที่นี่เป็นแหล่งรวมของอร่อยของชาวภูเก็ตที่เรียงรายกันไปด้วยรถเข็น สามสี่ร้าน เริ่มกันที่คันแรก อาโป๊งแม่สุณี ขนมฮกเกี้ยนโบราณ ทำจากแป้งน้ำตาล กะทิ ไข่ นำมาผสมให้เข้ากัน แล้วทอด พอสุกก็ม้วนเป็นกระบอกคล้ายทองม้วน ต่างกันตรงไม่มีไส้ หอมหวานถูกใจเด็ก ๆ ดีทีเดียว ถัดไปเป็น ร้านขายขนมหวานโอ้เอ๋วที่มีอยู่ถึง 2 ร้าน และเป็นร้านเก่าแก่ทั้งคู่ คือ โกโรจน์และแป๊ะเอ้ง โอ้เอ๋วเป็นขนมกิน เล่นดับร้อนของคนภูเก็ต ลักษณะเป็นวุ้นทำจากกล้วยน้ำว้าขยำกับเม็ดโอ้เอ๋ว โปะด้วยน้ำแข็งไสราดน้ำเชื่อม ร้อน ๆ อย่างนี้ได้ลองสักถ้วยแสนจะชื่นใจในสุดคือหมี่หุ้นป้าฉ่าง หรือบางคนเรียกป้าช้าง หมี่หุ้นคือหมี่ขาวที่ผัดกับซีอิ๊ว โรยด้วยหอมเจียวและต้นหอม หมี่หุ้นกับน้ำซุปกระดูกหมูของป้านั้นชามเล็ก ๆ น่ารัก แต่รสชาติไม่เล็กเหมือนชาม

วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2557

เดินออกกำลังกาย

การเดินนี่แหล่ะคือการออกกำลังกายที่ดีที่สุด ไม่ต้องไปฝึกไปหัด ไม่ต้องไปแข่งขันกับใคร และที่เหมาะสมกับยุคสมัยนี้ก็คือ ไม่เปลืองสตางค์ เพราะถ้าจะให้ครบเครื่องจริง ๆ สิ่งที่ต้องซื้อ (หากไม่มี) ก็เห็นจะมีเพียงรองเท้าผ้าใบสำหรับใส่เดินสักคู่ กับถุงเท้า กีฬาอีกสัก 2-3 คู่ (คู่เดียวไม่พอสำหรับเดินทุกวัน เดี่ยวเหม็น)

 

เดินให้ร่างกายฟิตเปรี๊ยะ
            สำหรับคนปกติ ไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วยหนักหนาสาหัสอะไร หากจะเดินให้ร่างกายคงความฟิตตลอดเวลาเอาไว้ได้ จะต้อง เดินประมาณ 5 กิโลเมตร ในเวลา 45 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน ที่ต้องกำหนดระยะทางในเวลาที่จำกัดก็เพื่อให้ได้ความเร็ว ในการเดินมากพอที่โกร๊ธฮอร์โมน (growth hormone) จะหลั่งออกมาและชีพจรเต้นได้ประมาณ 100-120 ครั้งต่อนาที
สำหรับการเริ่มต้น
            ในตอนเริ่มต้นสำหรับคนที่ไม่เคยออกกำลังมาก่อนเลย หรือหากเคยก็น้อยมาก ให้เริ่มด้วยระยะทางสักกิโลเมตรครึ่ง โดยใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก่อนก็ได้ แต่ก็ต้องทำให้ได้สัปดาห์ละ 5 วัน เหมือนกันนะเพราะความสม่ำเสมอ คือหัวใจสำคัญ ประการหนึ่งของการออกกำลัง จากนั้นให้ค่อยๆ เพิ่มระยะทางและเวลาให้มากขึ้นจนล่วงเข้ากลางเดือนที่สาม หรือเต็มที่ก็ สามเดือนผ่านไป คุณควรจะสามารถเดินได้ถึง 5 กิโลเมตรแล้ว โปรแกรมนี้ใช้ได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่จนถึงคนสูงอายุที่ร่างกาย ยังแข็งแรงกระฉับกระเฉงดีอยู่
            และจำไว้ว่า อย่าเพิ่มปริมาณการเดินในแต่ละสัปดาห์ให้มากเกินกว่า10 เปอร์เซ็นต์ เพราะจุดประสงค์ของการเดินครั้งนี้ ก็เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ขึ้นเท่านั้น (ไม่ใช่เพื่อเตรียมตัวเป็นนักกีฬาระดับโลก) นั่นก็คือมีร่างกายที่ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ รวมถึงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อต่างๆ หัวใจ และปอด อันจะส่งผลให้การทำงานในแต่ละวันมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การมีสุขภาพที่ดียังช่วยให้จิตใจปลอดโปร่งจากความกังวล ความกลัวและความโกรธอีกด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถช่วยให้คุณจัดการ กับความท้าทาย โอกาส และเหตุการณ์ไม่คาดฝันต่างๆ ได้ดีกว่าที่เคย
อย่าลืมวอร์มอัพ
            ไม่ว่าคุณจะเลือกเดินตอนเช้าเพื่อสร้างความรู้สึกสดชื่นให้กับตัวเองก่อนทำงาน หรือเดินตอนเย็นเพื่อขจัดความเหน็ดเหนื่อย เคร่งเครียดที่ได้รับมาตลอดชั่วโมงทำงาน ก็อย่าลืมเผื่อเวลาสำหรับการวอร์มร่างกายก่อนการเดินสัก 10 นาที และสำหรับการผ่อน คลายหลังเดินแล้วอย่างน้อยสัก 5 นาที ด้วยก็แล้วกัน
ประโยชน์ของการเดิน
            การเดินนี้ไม่เพียงแต่เป็นการออกกำลังกายที่ดีเท่านั้น แต่ยังเป็นช่วงเวลาที่คุณได้ใกล้ชิดกับร่างกายของตัวเอง และได้มี โอกาสสังเกตุสิ่งต่าง ๆ รอบตัว นอกจากนี้การเดินเร็ว ๆ ยังช่วยให้เรารู้สึกร่าเริง มีความสุขเป็นพิเศษด้วย ซึ่งก็เนื่องมาจากการที่ เลือดไหลเวียนดีขึ้น กล้ามเนื้อลดความตึงเครียดลง รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น การหลั่งโกร๊ธฮอร์โมน เป็นต้น และปกติแล้วความรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่านี้ก็จะอยู่กับคุณได้นานถึง 5 ชั่วโมงเลยทีเดียว
ฝึกหายใจไปด้วย
            อีกเรื่องหนึ่งที่ควรทำควบคู่กันไปกับการเดินก็คือ การฝึกหายใจจากท้อง คนส่วนมากมักหายใจไม่ลึกพอ โดยมักจะหายใจ จากหน้าอก ซึ่งไม่ถูกต้อง ที่ถูกต้องก็คือ เมื่อหายใจเข้า คุณจะต้องรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวที่ท้อง จากนั้นก็ค่อย ๆ เคลื่อนมาจนถึง หน้าอก ครั้นเมื่อหายใจออก คุณก็ต้องปล่อยให้ท้องของคุณรู้สึกผ่อนคลายด้วย แรก ๆอาจรู้สึกแปลกๆ แต่นี่คือวิธีคลายเครียดไปใน ตัวด้วยวิธีหนึ่ง ทั้งยังทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนเต็มที่กว่าด้วย
            หายใจได้แล้ว เดินก็เป็นแล้ว เริ่มกันเลยเป็นไง จะเอาแบบเดินเดี่ยวชื่นชมธรรมชาติคนเดียว (แต่ต้องระวังภัยคนเดียว เหมือนกัน!) หรือเดินเป็นหมู่คณะเพื่อจะได้เฮฮาประสาเพื่อนซี้ ก็ได้ทั้งนั้น  ขอเพียงว่าเดินเจอกันเมื่อไหร่ อย่าลืมทักกันบ้างก็แล้วกัน
เทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆในการเดิน
         ท่าเดินต่อไปนี้ไม่ได้บังคับให้คุณต้องเดิน แต่บอกเอาไว้ เผื่อคุณจะเอาไปใช้สลับกับการก้าวเดินเร็ว ๆ ตามปกติ เพราะมันมี ประโยชน์ แถมยังคลายเครียดได้ด้วย ไม่เชื่อลองอ่านแล้วทำตาม แล้วให้ใครสักคนช่วยดูสิ !
            1.  เดินด้วยส้นเท้า เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อตรงหน้าแข้ง และช่วยยึดเส้นเอ็นหลังเข่า เดินแบบนี้ไปสัก 150 ก้าว
            2.  เดินไขว้เท้าไปมา โดยให้เท้าข้างหนึ่งไว้ไปเหนือเท้าอีกข้างหนึ่ง ท่านี้จะช่วยให้สะโพกเคลื่อนไหวได้มากขึ้น
        3.  อีกท่าเดินที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับสะโพกก็คือ ให้เดินเหมือนปกติ แต่แทนที่จะเดินตรง ๆ ก็ให้เดินเป็นเลข 8
            4.  ก้าวสั้นๆแต่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อผ่อนคลายเท้าและข้อเท้าโดยเวลาก้าวอย่าลากเท้าแต่ต้องให้รู้สึกถึงการวางเท้าลง จากส้นเท้าถึงปลายเท้า

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ThaiRunning.com

วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2557

มาเต้นกันเถอะ....ภูเก็ตแฟนตาซี

ภูเก็ตแฟนตาซี ตั้งอยู่ริมหาดกมลา เดินทางจากสนามบินภูเก็ตประมาณ 23 กม ใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์เพียง 30 นาที หาดบางเทา 10 นาที หาดกะรน 25 นาที เมืองภูเก็ต 30 นาที หาดกะตะ 35 นาที
ภูเก็ตแฟนตาซี อยู่ไม่ไกลจากหาดกมลา ถูกเนรมิต ให้เป็นศูนย์ความบันเทิงทางวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ ของเกาะภูเก็ต ที่รวมรวมศิลปะ วัฒนธรรมไทย มาไว้ในสถานที่แห่งนี้ ได้อย่างน่าภาคภูมิใจ ภูเก็ตแฟนตาซีเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์แห่งหนึ่งของเมืองไทย ก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะหากใครได้มา ชมการแสดงแล้ว ต่างก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า "สุดยอดการแสดงที่ยิ่งใหญ่"ภูเก็ตแฟนตาซี ใช้นักแสดง ที่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดี   นำสัตว์ต่างๆมาเข้าฉาก และนำเทคนิคที่ทันสมัยมาใช้ รวมทั้งมีการจัดระบบแสงสีที่เข้ากันได้เป็นอย่างดี  การเต้นบัลเล่ต์ในอากาศ กายกรรม ดอกไม้ไฟ เทคนิคพิเศษต่างๆ และการแสดงความสามารถของช้างกว่า 30 เชือก จึงทำให้มีความอลังการ ที่สะกดผู้ชมได้ตลอดการแสดง รอบการแสดง : 21.00 น. บริเวณภายในพื้นที่ภูเก็ตแฟนตาซี ยังจำลองเป็นหมู่บ้านไทย มีร้านขายของที่ระลึก และสิ่งน่าสนใจรอบๆบริเวณอีกมากมาย  

รางวัลที่ได้รับ
Golden Medal Award For Excellence จากบริษัท Thomson ซึ่งเป็นบริษัทนำเที่ยวชั้นนำของประเทศอังกฤษให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดเยี่ยม จากการลงคะแนนของลูกค้า 


วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2557

เป็นสาวผิวใส โดยรับประทานหัวหอมใหญ่

ในอาหารต่างๆ ที่มีหอมหัวใหญ่ประกอบอยู่ด้วยนั้นส่วนใหญ่ดูเหมือนว่ามันเพียงตัวประกอบที่ช่วยเพิ่มรสชาติให้กับอาหารจานนั้น มิได้เป็นตัวเด่นตัวเอกแต่อย่างใด
     แต่แท้จริงแล้วหอมหัวใหญ่เป็นแหล่งวิตามินและแร่ธาตุสำคัญๆมากมายเช่น แคลเซียม เหล็ก ฟอสฟอรัส วิตามินซี เอ บี1 และ บี2 โดยเฉพาะ "กำมะถัน" คือแรธาตุสำคัญที่จะบันดาลผอวพรรณอันเปล่งปลั่งสดใสให้กับคุณอย่างวิเศษ ซึ่งมีกำมะถันในหอมหัวใหญ่มากมายทีเดียว ถ้าคุณรับประทานหอมหัวใหญ่สม่ำเสมอผิวพรรณของคุณจะดูผุดผ่อง มีสีเลือดฝาด บ่งบอกถึงสุขภาพที่ดีของผิว ความเนียนละมุนละไมจะเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
     หอมหัวใหญ่ทำให้คุณขับถ่ายสะดวกสบายและยังทำให้นอนหลับได้ง่ายสบายๆ อีกด้วย คนที่เป็นหวัดง่ายหรือแพ้อากาศก็ควรรับประทานหอมหัวใหญ่เสมอๆ ซุปมันฝรั่งใส่หอมหัวใหญ่ ไข่เจียวหอมหัวใหญ่ ยำต่างๆ สลัดต่างๆ เหล่านี้่คือเมนูหอมหัวใหญ่ที่คุณควรใส่ใจ

วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2557

ใบเตย...มีดีที่ไม่ใช่แค่กลิ่นหอม





 "กลิ่นใบเตย หอมชื่นใจ" ...ก็แหมเวลาเราได้กลิ่นหอม ๆ ของใบเตย หรือ "เตยหอม" ผสมอยู่ในขนมไทยทีไร ก็ชวนให้เราอยากคว้าขนมไทยชิ้นนั้นขึ้นมาหม่ำไปซะที (ปกติก็ชอบหม่ำอยู่แล้ว อิอิ) 

          สำหรับ
 "เตยหอม" นั้น ทุกคนน่าจะรู้จักกันดีใช่ไหมล่ะจ๊ะ โดยเฉพาะ "ใบเตย" ที่มักถูกนำมาผสมในอาหาร เพื่อให้อาหารมีกลิ่นหอมน่ารับประทาน แถมยังช่วยแต่งสีเขียวให้กับขนมไทยด้วย ซึ่งคนทั่วไปอาจจะรู้ว่าประโยชน์ของ "เตยหอม" มีเพียงเท่านี้ แต่จริง ๆ แล้ว นอกจาก "เตยหอม" จะมีดีที่ความหอมแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยาที่ดีต่อสุขภาพแฝงอยู่ด้วยนะ


     โดย "ใบเตยหอม" 100 กรัม จะให้พลังงานถึง 35 กิโลแคลอรี และยังมีคุณค่าทางโภชนาการอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น

         
  น้ำ 85.3 กรัม
         
  คาร์โบไฮเดรต 4.6 กรัม
         
 โปรตีน 1.9 กรัม
         
  ไขมัน 0.8 กรัม
         
  กาก 5.2 กรัม
         
  แคลเซียม 124 มิลลิกรัม
         
  ฟอสฟอรัส 27 มิลลิกรัม
         
 เหล็ก 0.1 มิลลิกรัม
         
 เบต้า-แคโรทีน 2.987 ไมโครกรัม
           
วิตามินบี 2 0.20 มิลลิกรัม
         
  ไนอะซีน 1.2 มิลลิกรัม
         
  วิตามินซี 8 มิลลิกรัม
     มาที่สรรพคุณสุดแสนจะน่าอัศจรรย์ของเตยหอมกันบ้าง นอกจากจะนำ "ใบ" มาใช้ผสมอาหาร แต่งกลิ่น ให้สีเขียวแล้ว ผลการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ยังพบว่า "เตยหอม" มีฤทธิ์ทางยาด้วย ดังนี้

ใบ

         
  ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ เพราะใบเตยมีฤทธิ์ลดอัตราการเต้นของหัวใจ จึงช่วยบำรุงหัวใจได้อย่างดี วิธีรับประทานคือ ใช้ใบสดผสมในอาหาร แล้วรับประทาน หรือนำใบสดมาคั้นน้ำรับประทาน ครั้งละ 2-4 ช้อนแกง

         
  ช่วยดับกระหาย เนื่องจากใบเตยมีกลิ่นหอมเย็น หากนำมาผสมน้ำรับประทาน จะช่วยดับกระหาย คลายร้อน ทานแล้วรู้สึกชื่นใจ และชุ่มคอได้เป็นอย่างดี วิธีรับประทานคือ นำใบเตยสดมาล้างให้สะอาด นำมาตำหรือปั่นให้ละเอียด แล้วเติมน้ำเล็กน้อย คั้นเอาแต่น้ำดื่ม

         
  รักษาโรคหัด หรือ โรคผิวหนัง โดยนำใบเตยมาตำแล้วมาพอกบนผิว

รากและลำต้น

         
  ใช้รักษาโรคเบาหวาน เพราะรากและลำต้นของเตยหอมนั้น มีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด วิธีรับประทานก็คือ ใช้ราก 1 กำมือนำไปต้มเป็นน้ำดื่ม ทุกเช้า-เย็น 

         
  ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ โดยการนำต้นเตยหอม 1 ต้น หรือราก ครึ่งกำมือ ไปต้มกับน้ำดื่ม

         
 นอกจากนี้ เตยหอม ยังช่วยแก้อ่อนเพลีย ดับพิษไข้ และชูกำลังได้อีกด้วย เห็นสรรพคุณมากมายขนาดนี้แล้ว ต้องบอกว่าไม่ธรรมดาจริง ๆ สำหรับเจ้าพืชสีเขียวใบเรียวชนิดนี้ 


ไปเต๊อะไปแอ่ว


   


ออกเดินทางจากสนามบินเชียงราย....เพื่อมาสัมผัสถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของพระภิกษุสงฆ์และสามเณร ณ วัดถ้ำป่าอาชาทอง

       วัดถ้ำป่าอาชาทอง ตั้งอยู่ที่ ตำบลศรีค้ำ อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ด้วยที่ตั้งอันห่างไกลจากหมู่บ้าน ทำให้การออกไปบิณฑบาตรในแต่ละเช้ามีอุปสรรค์เรื่องระยะทางเพราะแต่ละหมู่บ้านที่ออกบิณฑบาตรนั้นล้วนแต่อยู่ไกลจากวัดทั้งสิ้น ทำให้ ครูบาเหนือชัย พร เณร ขี่ม้าบิณฑบาตร ซึ่งหมู่บ้านที่ไกลที่สุดอยู่หางจากวัดประมาณ 10 กิโลเมตร โดยทางส่วนใหญ่เป็นภูเขาและท้องนา ถึงแม้ว่าหมู่บ้านแต่ละหมู่บ้านจะไม่ได้อยู่ทางเดียวกัน ก็ไม่ได้ทำให้พระ เณร ย่อท้อแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามกลับรู้สึกว่า ยิ่งห่างไกลยิ่งต้องไป ไปเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา

      แต่สำหรับเรา ในฐานะของนักท่องเที่ยว สิ่งที่ทำได้คือ การไปรอทำบุญตักบาตรที่ บริเวณ ลานธรรม วัดถ้ำป่าอาชาทอง หลังจากที่พระ เณร ออกบิณฑบาตรตามหมู่บ้านต่างๆเสร็จสิ้นแล้ว จะมารับบาตรบริเวณลานธรรม ซึ่งช่วงเวลาที่เหมาะสมแก่การไปตักบาตรนั้น อยู่ในช่วงเวลา 07.00-08.30 น. สำหรับของตักบาตรหากใครลืมซื้อ สามารถหาซื้อได้บริเวณวัดถ้ำป่าอาชาทอง เนื่องจากมีชาวบ้านนำอาหารแห้งมาขายให้สำหรับนักท่องเที่ยว

      ตักบาตรเสร็จครบทุกคนแล้ว พิธีกรรมต่อไปคือ ลอดท้องม้า ซึ่งโดยปรกติแล้วเราเคยพบแต่ลอดท้องช้าง จากนั้นนั่งฟังคำเทศนาที่ถ่ายทอดออกมาราวกับการร้องเพลง ด้วยการด้นสด ถือได้ว่าเป็นการเทศน์ที่เพราะมากเลยทีเดียว เมื่อพิธีต่างๆเสร็จสิ้น บางคนก็เข้าไปหา ครูบาเหนือชัย บ้างก็ให้เคาะหัว บ้างก็ให้เป่ากระหม่อมเพื่อเป็นขวัญ กำลังใจในการดำเนินชีวิตต่อไป

วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2557

beach @ krabi




The Splitting Sea
Amidst the deep Andaman Sea, around 5-7 days before and after the night of the full moon, sea levels would retreat to expose a ‘splitting sea’ – a stretch ofwhite sand that links to two island, giving one the illusion of looking at three islands.
Tha Pom Khlong Song Nam
This great 700m hiking route route that allows oneself  to immerse in pristine nature is a wooden bridge that blends into foliage and mangrove forests.
Wat Klong Thom Museum
The museum boasts a wide array of ancient artifacts unearthed from a small hill behind a temple where stone-age tools and accessories made of stone and clay were found, including beads of stone and clay were of stone and clay were found, including beads dating 5,000 year back.
The Kalok Cave
Location in Leuk Bay, the cave is a limestone hill surrounded with mangrove forests. The cave walls have been  carved out with ancient hieroglyphics featuring people and animals, with the cave floor covered with layers of seashells.

ท่องเที่ยวนครพนม...


สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่3 (นครพนม-คำม่วน)
สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งล่าสุดที่เชื่อมระหว่างไทย-ลาว มีถนนเส้นหลักใช้เดินทางต่อไปได้ถึงเวียดนามและจีน ถือเป็นสะพานแห่งแรกที่ลงทุนสร้างทั้งหมดโดยประเทศไทย งบประมาณทั้งสิ้น 1,723 ล้านบาท มีความยาว 1,423 เมตร เปิดใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 เดือน 11 ปี 2011 ตกแต่งตัวสะพานด้วยศิลปะพื้นถิ่นของภาคอีสาน อัญเชิญแบบจำลององค์พระธาตุพนมมาเป็นส่วนยอดของตัวอาคารตรวจคนเข้าเมืองฝั่งไทย ส่วนฝั่งลาวเป็นองค์จำลองของพระธาตุสีโคดตะบอง เหมาะไปตั้งกล้องถ่ายภาพในช่วงเช้ามืดหรือพลบค่ำอย่างยิ่ง


บ้านลุงโฮ
บ้านไม้หลังไม่ใหญ่ สร้างเลียนแบบลักษณะบ้านของชาวเวียดนามแท้ๆ กลางสวนต้นไม้บรรยากาศร่มรื่น คือบ้านของโฮจิมินห์ หรือลุงโฮ วีรบุรุษของชาวญวนผู้กู้เอกราชจากฝรั่งเศส และประธานาธิบดีคนแรกของเวียดนาม ลุงโฮลี้ภัยมาอาศัยอยู่กับชาวบ้าน กินอยู่แบบง่ายๆ ปลูกผัก ทำนา เลี้ยงสัตว์ โดยใช้ที่นี่เป็นฐานบัญชาการเล็กๆ อาศัยวิทยุเครื่องเล็กเป็นแหล่งรับข่าวสารจากภายนอก ปัจจุบันในบ้านจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อม จัดแสดงประวัติของลุงโฮ โดยจัดวางข้าวของเครื่องใช้ที่ยังคงเหลือไว้เหมือนสมัยที่ท่านอาศัยอยู่ในช่วง พ.ศ.2466-2472


หอนาฬิกาเวียดนามอนุสรณ์
หอนาฬิกาทรงสูงที่สร้างขึ้นโดยชาวเวียดนามเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ชาวนครพนมเมื่อครั้งที่ชาวเวียดนามหนีสงคราม เดียนเบียนฟูมาอาศัยอยู่ในฝั่งไทยและได้รับความช่วยเหลือฉันพี่น้องจากชาวไทย พอเหตุการณ์สงบ ก่อนเดินทางกลับบ้านจึงสร้างหอนาฬิกาที่ริมแม่น้ำโขงเมื่อ พ.ศ.2503 ปัจจุบันกลายเป็นเซ็นเตอร์พอยต์ของวัยรุ่นนครพนม ถนนใกล้ๆ มีทั้งร้านอาหาร ร้านกาแฟ และผับขนาดเล็ก เป็นสีสันยามค่ำคืน เย็นวันศุกร์จัดเป็นถนนคนเดินให้นักท่องเที่ยวเดินช็อปปิ้งของกระจุกกระจิก



ศาลากลางหลังเก่า
อาคาร French colonial สีเหลืองครีมตัดกับหลังคาสีแดง สวยเด่นอยู่ใกล้แยกถนนอภิบาลบัญชา เดิมใช้เป็นศาลากลางจังหวัด สร้างเมื่อ พ.ศ.2458 ใช้แปลนศาลากลางจังหวัดเชียงรายเป็นต้นแบบ ต่างกันตรงที่เพิ่มหน้าต่างเล็ก 3 ช่องที่หลังคาด้านหน้าและด้านหลัง ปัจจุบันใช้เป็นที่ทำการหอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติฯ และได้รับรางวัลอนุรักษ์ดีเด่นจากสมาคมสถาปนิกสยามฯ


พระธาตุพนม

มาเยือนนครพนมอย่าพลาดไปสักการะพระธาตุศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองนครพนม โดยเฉพาะผู้ที่เกิดปีวอก หรือวันอาทิตย์ เพราะเป็นพระธาตุประจำปีและวันเกิด ภายในบรรจุพระอุรังคธาตุ(กระดูกส่วนหน้าอก) ของพระพุทธเจ้า เชื่อกันว่าผู้ที่มานมัสการจะได้รับอานิสงส์ มีบุญบารมี ผู้คนให้ความเคารพนับถือ หากใครนมัสการพระธาตุครบ 7 ครั้ง ถือว่าได้เป็นลูกพระธาตุ จะเกิดสิริมงคลสูงสุดแก่ชีวิต