วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เที่ยวๆๆๆทะเล.......เกาะวัวตาหลับ








         เกาะวัวตาหลับ เป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง ด้านหน้าที่ทำการเป็นหาดทรายขาวสะอาด ใกล้ๆกันนั้นมีถ้ำบัวโบก ภายในมีหินงอกหินย้อยคล้ายดอกบัวบาน ถัดไปมีทางเดินขึ้นไปยังจุดชมวิวบนยอดเขา ระยะทางประมาณ 400 เมตร ซึ่งจะมองเห็นหมู่เกาะอ่างทอง ทอดตัวเรียงรายเป็นแนวยาวไปบนผืนน้ำสีคราม เป็นภาพที่สวยงามยิ่ง

การเดินทางไปยังเกาะวัวตาหลับ

จากเกาะสมุยมีเรือโดยสาร ออกจากท่าเรือหน้าทอนเวลา 8.30 น. ขากลับออกจากหมู่เกาะอ่างทองเวลา 15.00 น.ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง
กิจกรรมที่น่าสนใจในเกาะวัวตาหลับ

เดินเล่นบนหาดสวย เล่นน้ำทะเลใสๆ
ชมทิวทัศน์งามๆของหมู่เกาะอ่างทองจากจุดชมวิวบนยอดเขา
ออกเรือไปดำน้ำดูปะการัง
เที่ยวถ้ำชมหินงอกหินย้อยสวยๆ
ค้างคืนบนเกาะ แค็มป์ปิ้งชายทะเล

ช่วงเวลาที่เหมาะสม สำหรับการมาท่องเที่ยวเกาะวัวตาหลับ

ตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม - 31 ตุลาคม ของทุกปี
ค่าใช้จ่ายสำหรับการมาเที่ยวเกาะวัวตาหลับ

บ้านพัก ราคา 500 - 1200 บาท
เต็นท์ ราคา 100 - 225 บาท
ค่าธรรมเนียม
คนไทย เด็ก 20 บาท ผู้ใหญ่ 40 บาท
ต่างชาติ เด็ก 200 บาท ผู้ใหญ่ 400 บาท

หมายเลขโทรศัพท์ที่สำคัญ

อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง
145/1 ถ.ตลาดล่าง ต.ตลาด อ. เมืองสุราษฎร์ธานี จ. สุราษฏร์ธานี 84000

โทรศัพท์ 0 7728 6025, 0 7728 0222 โทรสาร 0 7728 6588 อีเมล angthong_np@hotmail.com

 
เดินทางได้โดย : www.nokair.com
ขอขอบคุณภาพจาก : www.google.com 
 

 

วันพุธที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ท่องเที่ยวระนอง เมืองฝนแปดแดดสี่


ศูนย์วิจัยป่าชายเลนระนอง

เที่ยวชม ผืนป่าชายเลนที่มีความระบบนิเวศอุดมสมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียและได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกประกาศให้เป็น "พื้นที่สงวนชีวมณฑล ระนอง" ใน พ.ศ. 2540 ซึ่งเป็นนที่สงวนชีวมณฑลประเภทป่าชายเลนแห่งแรกของโลก และ เมื่อปี พ.ศ. 2547 ยังได้รับการวัลกินรีจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)ประเภทแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศดีเด่นเมื่อปี พ.ศ. 2547 อีกด้วย ป่าชายเลนแห่งนี้มีพื้นที่กว้างใหญ่นับแสนไร่และมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติให้เลือกเดินเที่ยวกว่า 800เมตร หรือจะเลือกนั่งเรือชมความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าชายเลนก็ได้
 


พระราชวังรัตนรังสรรค์ (จำลอง)
จัดสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์การเสด็จประทับแรมที่ จ. ระนอง ของพระมหากษัติริย์ 3 พระองค์ คือ รัชกาลที่ 5 รัชกาลที่ 6 และรัชกาลที่ 7 และความยิ่งใหญ่ของการที่พระมหากษัตริย์ถึงสามพระองค์เสด็จ ก็บอกถึงความสำคัญของเมืองระนองและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างราชวงศ์จักรีกับเจ้าเมืองเป็นอย่างดี
 
 
จวนเจ้าเมืองระนอง
ที่บุตรชายคนที่ 2 ของท่านคอซู้เจียง สร้างเพื่อใช้เป็นที่พักของบิดา เมื่อครั้งท่านคอซู้เจียงว่าราชการเป็นเจ้าเมืองระนอง จวนหลังนี้เป็นเพียงอาคารหลังเล็ก สะท้อนถึงความสมถะของท่าน ปัจจุบันใช้เป็นศาลบรรพบุรุษของตระกูล ณ ระนอง สิ่งที่น่าสนใจที่จวนแห่งนี้ คือป้ายหน้าศาลบรรพรุษที่สวยงาม มีอักษรจีนฮกเกี้ยน เขียนว่า เกา-หยาง แปลว่า "ดวงตะวันอันสูงส่ง" ในป้ายยังมีคำจีนเขียนว่า บ้านนี้มากด้วยขุนนาง และบ้านนี้มากด้วยแก้วแหวนเงินทอง
 







บ่อน้ำร้อนพรรั้ง
 ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติน้ำตกหงาว บ้านพรรั้ง ต.บางริ้น อ.เมืองระนอง ห่างจากตัวเมืองราว 10 กม. ต้องเสียค่าธรรมเนียม ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท เพราะอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ และเพราะเหตุนี้จึงมีบรรยากาศร่มรื่นด้วยไม้ใหญ่ แหล่งนี้มีบ่อน้ำแร่ 3 บ่อ อุณหภูมิน้ำแร่ 54-55 องศาเซลเซียส และยังมีตาน้ำแร่ร้อนผุดขึ้นมาสบกับ ธารน้ำเย็นพรรั้งเกิดเป็นแอ่งน้ำอุ่น มีบ่อแช่น้ำแร่อย่างเป็นสัดส่วน สะอาดสะอ้าน ทั้งบ่อแช่เท้า บ่อแช่ตัว และห้องอาบน้ำกลางแจ้ง พร้อมห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ในบริเวณใกล้เคียงยังมีอาคารที่พักบริการด้วย
 




วัดวารีบรรพต (วัดบางนอน)

สักการะร่างกายทิพย์ของหลวงพ่อด่วน เกจิอาจารย์ชื่อดัง ณ วัดวารีบรรพต (วัดบางนอน) พร้อมลอดโลงขอพรตามความเชื่อ





 


ถ้ำพระขยางค์
ถ้ำเล็กๆ ที่อุดมสมบูรณ์ด้วยหินงอกหินย้อยและมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าชายเลนให้เดินเล่นด้วย

 





ก้องวัลเลย์ อ. กระบุรี
 สถานที่ที่คอกาแฟห้ามพลาด คุณก้อง-สุพจน์ กรประสิทธิ์วัฒน์ เจ้าของร้านได้เปิดบ้านของตนเองเป็นร้านกาแฟ ที่พักและแหล่งเรียนรู้เรื่องการปลูกและคั่วกาแฟพันธุ์โรบัสตา เมล็ดกาแฟของที่นี่คัดสรรเมล็ดโดยใช้วิธีเดียวกับกาแฟอราบิกาที่ปลูกในภาคเหนือ และมีกรรมวิธีที่โดดเด่นคือ การคั่วกาแฟแบบอาหรับโบราณ โดยใช้ไม้อบเชย ซึ่งมีกลิ่นหอม คั่วเมล็ดกาแฟในกระทะเล็กๆ ทีละกระทะ
การเดินทางโดยรถโดยสารประจำทาง
บริษัทขนส่งจำกัด 999,99 (สถานีขนส่งสายใต้ใหม่)
02-422-2200-1, 02-984-6122, จองตั๋ว 02-422-4444, 02-262-3456

การเดินทางโดยเครื่องบิน
เปิดให้บริการเส้นทางบินใหม่ล่าสุด กรุงเทพฯ(ดอนเมือง)-ระนอง ทุกวัน
สอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร. 1318 หรือดูที่ www.nokair.com

วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556

อัลปาก้าฮิลล์ (Alpaca Hill) อัลปาก้า ที่สวนผึ้ง








เจ้าตัวนี้มีชื่อว่า อัลปาก้า ค่ะ ชื่อภาษาอังกฤษ คือ Alpaca เป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่แถบอเมริกาใต้ดั้งเดิม อาศัยตามภูเขาสูง อัลปาก้าเป็นสัตว์ในตระกูลอูฐ เขากินอาหารโดยวิธีเคี้ยวเอื้องคล้ายวัว มีขนเป็นเส้นใยที่สามารถนำมาทำเครื่องนุ่งห่มได้
พันตรีหม่อมราชวงศ์พีรานุพงศ์ ภาณุพันธุ์ ได้เป็นคนริเริ่มนำตัวอัลปาก้ามาเพาะเลี้ยงในประเทศไทย โดยได้สายพันธุ์มาจากประเทศออสเตรเลีย และได้ก่อตั้งอัลปาก้าฮิลล์ (Alpaca Hill) ขึ้นมาเป็นฟาร์มเพาะเลี้ยงแห่งแรกและแห่งเดียวของไทย ใน อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี
บนพื้นที่สีเขียวกว่า 250 ไร่ในดินแดนอากาศดีตลอดปี สวนผึ้ง จ.ราชบุรี อัลปาก้าฮิลล์ (Alpaca Hill) เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาชมความน่ารักของอัลปาก้าแล้ววันนี้
การเข้าชม ทางฟาร์มอัลปาก้าฮิลล์ (Alpaca Hill) จะกำหนดจำนวนผู้เข้าชมไว้ที่ 200 ท่านต่อวันเท่านั้น
เพื่อเป็นการลดความเครียดอันเนื่องมาจากการติดต่อกับมนุษย์ โดยจะแบ่งเป็นกลุ่มเล็กๆ กลุ่มละ 8-10 คน
จะมีบัตรเข้าชม 4 ประเภท โดยบัตรแต่ละประเภทก็จะมีข้อกำหนดและสิทธิพิเศษในการเข้าชมอัลปาก้าที่แตกต่างกันออกไป คือ

1. บัตรธรรมดา 190 บาท สามารถเข้าชมได้ 1 ครั้ง อยู่ในบริเวณซุ้มพื้นที่ที่กำหนดให้ เข้าชมเป็นรอบ รอบละไม่เกิน 30 นาที
2. บัตร VIP 290 บาท เข้าชมได้อย่างใกล้ชิด 1 ครั้ง พร้อมสายคล้องคอ 1 เส้น(สีส้ม) อยู่ในพื้นที่พิเศษ สามารถเดินอยู่กับฝูงใกล้ชิดกับอัลปาก้าได้ ได้อาหารสำหรับให้อัลปาก้า 1 ชุด เข้าชมเป็นรอบ แต่สามารถอยู่ได้ถึงรอบสุดท้าย 17:30 น. เข้าออกได้ตลอดวัน ได้ของที่ระลึกเป็นกรอบรูป
3. บัตร VIP EXPRESS 390 บาท เข้าชมได้อย่างใกล้ชิด 2 ครั้ง/ปี พร้อมสายคล้องคอ 1 เส้น (สีขาว) อยู่ในพื้นที่พิเศษ สามารถเดินอยู่กับฝูงใกล้ชิดกับอัลปาก้าได้ ได้อาหารสำหรับให้อัลปาก้า 2 ชุด เข้าชมได้ไม่จำกัดเวลา ทุกรอบ เข้า-ออก ได้ตลอดวัน ได้ของที่ระลึกเป็นกรอบรูปและถุงผ้า
4. บัตร YEAR EXPRESS 500 บาท เข้าชมได้ไม่จำกัดครั้ง พร้อมสายคล้องคอ 1 เส้น (สีขาว) อยู่ในพื้นที่พิเศษ สามารถเดินอยู่กับฝูงใกล้ชิดกับอัลปาก้าได้ ได้อาหารสำหรับให้อัลปาก้าไม่จำกัด เข้าชมได้ไม่จำกัดเวลา ทุกรอบ เข้า-ออก ได้ตลอดวัน ได้ของที่ระลึกเป็นกรอบรูป ถุงผ้า และตุ๊กตาอัลปาก้า
อัลปาก้าเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ เพราะฉะนั้นนักท่องเที่ยวที่จะมาชมอัลปาก้าฮิลล์ (Alpaca Hill) นั้น ควรงดใช้เสียงดัง งดถ่ายภาพด้วยแฟลช และป้อนอาหารที่ทางฟาร์มจัดไว้ให้ งดการป้อนอาหารจากภายนอก
ที่อัลปาก้าฮิลล์ (Alpaca Hill) ยังมีสัตว์น่ารักๆ ที่เป็นมิตร ชนิดอื่นๆอีก เช่น จิงโจ้แคระ กระต่ายยักษ์ หนูตะเภา นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่เพาะเลี้ยงและจำหน่ายอัลปาก้าสายพันธุ์ที่ดีที่สุดอีกด้วย
นักท่องเที่ยวที่ต้องการจะเข้าชม อัลปาก้าฮิลล์ (Alpaca Hill) สวนผึ้ง นั้นจะต้องทำการจองล่วงหน้า
ได้ที่
www.alpacahill.com โดยจองผ่านทางระบบออนไลน์ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 080-821-2108, 081-145-9565

 

วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เที่ยวชุมพร...

        เที่ยวชุมพร


       โดยเริ่มกันที่ หาดทรายรี อยู่ห่างจากเขตเทศบาลเมืองชุมพรไปตามทางหลวงหมายเลข 4119 และ 4098 ประมาณ 20 กิโลเมตร เป็นหาดทรายยาวสีขาวสะอาดตา บริเวณหาดมีที่พักและร้านอาหารบริการ ใกล้ ๆ ชายหาดเป็นที่ตั้งของอนุสรณ์สถานของ พลเรือเอกพระบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ผู้ทรงสถาปนากองทัพเรืออันทันสมัยให้กับประเทศไทย ซึ่งอนุสรณ์สถานประกอบด้วย ศาลกรมหลวงชุมพรฯ, สวนสมุนไพรหมอพร เป็นโครงการของกระทรวงสาธารณสุข เพื่ออนุรักษ์สมุนไพรที่มีคุณค่า สืบทอดเจตนารมณ์ของ "กรมหลวงชุมพรฯ" หรือ "หมอพร" ของชาวบ้าน, เรือรบหลวงชุมพร

 

หาดทุ่งวัวแล่น เป็นชายหาดที่สวยงามขึ้นชื่อของอำเภอปะทิว ตั้งอยู่ที่หมู่ 8 ตำบลสะพลี ห่างจากตัวเมืองชุมพรไปตามถนนสายชุมพร-หาดทุ่งวัวแล่น ผ่านศูนย์ราชการจังหวัดที่เขาสามแก้วเลียบทางรถไฟ จากนั้นเข้าสู่ถนนหมายเลข 3180 รวมระยะทางประมาณ 16 กิโลเมตร เป็นชายหาดที่มีเม็ดทรายสีขาวนวลละเอียด ทอดตัวยาวสุดสายตา ลักษณะเป็นชายหาดน้ำตื้นค่อย ๆ ลาดเอียงลงทีละน้อย เหมาะแก่การเล่นน้ำ เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว ส่วนทางด้านใต้ของหาดติดภูเขาจะเป็นหาดที่มีหินอยู่มากมาย

 

อ่าวทุ่งมะขาม แบ่งเป็น อ่าวทุ่งมะขามน้อย และ อ่าวทุ่งมะขามใหญ่ ทั้ง 2 อ่าวมีลักษณะโค้งเว้าสวยเป็นรูปครึ่งวงกลมสองวงคั่นด้วยแหลมหิน ซึ่ง อ่าวทุ่งมะขามน้อย ยาวประมาณ 1 กิโลเมตร หาดกว้างทรายสวยละเอียด มีรีสอร์ทและเป็นท่าเรือของเรือเร็ว (เรือเร็วลมพระยา) ที่เดินทางไปยัง เกาะเต่า ส่วน อ่าวทุ่งมะขามใหญ่ ความยาวของหาดประมาณ 4 กิโลเมตร ตลอดแนวชายหาดเป็นสวนมะพร้าวของชาวบ้าน สามารถมองเห็น เกาะละวะ เกาะรังกาจิว ได้อย่างชัดเจน

 

ปากน้ำหลังสวน เมื่อถึงตลาดปากน้ำหลังสวน จะมีถนนตัดเลียบชายหาดไปตลอด จนถึงตำบลบางน้ำจืด ริมชายหาดมีรีสอร์ทและร้านอาหารทะเลตั้งอยู่เป็นระยะ ปากน้ำหลังสวนเป็นแหล่งร้านอาหารทะเลที่อร่อยและราคาถูก

 

หาดคอเขา ตั้งอยู่ที่ตำบลปากน้ำ ห่างจากอำเภอหลังสวนไปทางทิศใต้ประมาณ 15 กิโลเมตร เป็นหาดทรายที่มีความสวยงามและสะอาด

 

โดยสาร : www.nokair.com

ขอขอบคุณ : www.google.com

ฝากบล็อก : https://noknok1101.jux.com/

                    http://natakwangblog.wordpress.com/
         

วันอังคารที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ท่องเที่ยวน่าน

 
 
 
 
 
ต้นดิกเดียม วัดปรางค์

          ต้นดิกเดียม ต้นไม้อะไรใครรู้ดูประหลาดผิดธรรมชาติ พันธุ์พฤกษาน่าฉงน แค่เห็นเป็นต้นไม้หันหลังให้แดดหันหน้า เข้าวัดก็แปลกเหลือหลายอยู่แล้ว แต่ใครจะเชื่อว่าต้นไม้ประหลาดต้นนี้เป็นต้นอารมณ์ขัน ใบไม้จะไหวสั่นทุกครั้ง ที่ถูกคนสัมผัส โดยสามารถไปชมได้ทุกวัน แต่ไม่ควรไปลูบคลำ เนื่องจากในประเทศไทยมีอยู่ต้นเดียว เจ้าอาวาสที่วัดท่านจะลูบให้ดู

          การเดินทาง จากจังหวัดน่านเดินทางด้วยทางหลวงหมายเลข 1080 และ 1256 สู่อำเภอปัว ก่อนถึงตัวอำเภอเล็กน้อยมีทางแยกซ้ายเข้าสู่วัดปราง ซึ่งเป็นที่ตั้งของต้นดิกเดียม สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงาน ททท. ภาคเหนือ เขต 2 โทร. 0-5371-7433, 0-5374-4674-5 
 
 
อุทยานแห่งชาติดอยภูคา

          อุทยานแห่งชาติดอยภูคา ได้รับการกล่าวขานว่าเป็น ป่าต้นน้ำ ป่าดึกดำบรรพ์ปลายทางหิมาลัย ขุนเขาใต้ทะเล อุทยานแห่งชาติดอยภูคา มีพื้นที่ประมาณ 1,680 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่หลายอำเภอ ได้แก่ ท่าวังผา ปัว เชียงกลาง ทุ่งช้าง บ่อเกลือ สันติสุข และแม่จริม เทือกเขาดอยภูคาประกอบด้วยแนวภูเขาสูงสลับซับซ้อน ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของปลายเทือกเขาหิมาลัย โดยมียอดภูคาเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของจังหวัดน่าน สูงถึง 1,980 เมตร

          ดอยภูคา เป็นต้นแม่น้ำสำคัญหลายสาย เช่น แม่น้ำน่าน ลำน้ำปัว บริเวณนี้เดิมเคยเป็นทะเลมาก่อน ก่อนจะเกิดการเคลื่อนตัวของแผ่นดินสองผืนใต้ทะเลเข้าหากัน ทำให้แผ่นดินโก่งตัวขึ้น น้ำทะเลใต้ดินระเหยไปเหลือเพียงสินแร่เกลือ ดังที่พบในเขตอำเภอบ่อเกลือ และการค้นพบสุสานหอยทะเลอายุประมาณ 200 ล้านปี บนดอยภูแวที่บ้านค้างฮ่อ ตำบลสะกาด อำเภอปัว มีลักษณะเป็นหอยแครงสองฝา มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า พาลีโอคาร์ดิต้า สปีชี่ (Paleocardita Species) อายุ 195-205 ล้านปี จัดว่าอยู่ในยุคไทรแอสซิก (Triassic) ตอนปลาย 

          สถานที่น่าสนใจในอุทยานฯ ได้แก่ ถ้ำผาแดง, ถ้ำผาผึ้ง เป็นถ้ำที่มีความสวยงามและยาวมากที่สุดในอุทยานแห่งชาติดอยภูคา (บ้านมณีพฤกษ์) อ.ทุ่งช้าง ภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อยที่สวยงาม และยังมีน้ำตกและลำธารขนาดใหญ่ภายในถ้ำอีกด้วย, ถ้ำผาฆ้อง เป็นถ้ำขนาดกลางบริเวณปากถ้ำจะมีขนาดเล็ก ภายในถ้ำจะมีหินงอกหินย้อย และลำธารไหลผ่าน แต่ช่วงฤดูฝนไม่สามารถเข้าชมได้ เนื่องจากอาจมีน้ำท่วมในถ้ำ อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 7 กิโลเมตร และต้องเดินเท้าเข้าไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร
 
  น้ำตกต้นตอง เป็นน้ำตกหินปูนมี 3 ชั้น อยู่ในอุทยานแห่งชาติดอยภูคา บนโตรกผามีพืชชุ่มน้ำ, น้ำตกศิลาเพชร น้ำตกลงมาจากหน้าผาหลายชั้นลดหลั่นกันไป เหมาะกับการเล่นน้ำ, น้ำตกภูฟ้า, น้ำตกตาดหลวง เป็นแหล่งอนุรักษ์พันธุ์ปลาพลวง, ล่องแก่งน้ำว้าตอนกลาง ในอุทยานแห่งชาติดอยภูคา เป็นเส้นทางล่องแก่งระดับ 3-5 ประมาณ 20 กว่าแก่ง เป็นสุดยอดแห่งความตื่นเต้นสนุกสนาน, ยอดดอยภูแว เป็นยอดดอยที่มีวามสูงจากระดับน้ำทะเล 1,837 เมตร มีลักษณะโดดเด่นเป็นทุ่งหญ้าบนดอย อีกทั้งยังมีลานหินและหน้าผาสูงชันอีกด้วย, สุสานหอย อายุประมาณ 218 ล้านปี และเส้นทางศึกษาธรรมชาติชมพูภูคา ซึ่งนับเป็นบ้านแห่งสุดท้ายของต้นชมพูภูคาพันธุ์ไม้หิมาลัย และเป็นไม้หายากใกล้สูญพันธุ์ชนิดหนึ่งในโลก จุดชมต้นชมพูภูคาที่เข้าถึงง่ายที่สุดจะอยู่ริมถนนห่างจากที่ทำการไป 5 กิโลเมตร

          ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการท่องเที่ยว คือ ช่วงฤดูหนาว ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ อุณหภูมิ 15-27 องสาเซลเซียส และฤดูร้อนระหว่างเดือนมีนาคมถึงเมษายนซึ่งมีอากาศเย็นสบาย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่อุทยานแห่งชาติดอยภูคา โทร. 0 1224 0789, 0 5470 1000 ตู้ปณ. 8 ตำบลภูคา อำเภอปัว จังหวัดน่าน 55120 

          การเดินทาง จากจังหวัดน่าน โดยทางรถยนต์ไปตามทางหลวงหมายเลข 1080 ถึงอำเภอปัว ระยะทาง 60 กิโลเมตรแยกไปตามทางหลวงหมายเลข 1256 (ปัว-บ่อเกลือ) ถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยภูคา ระยะทาง 25 กิโลเมตร ผู้ที่เดินทางโดยรถโดยสารประจำทางสามารถใช้บริการ รถสองแถวสีน้ำเงินสายปัว-บ่อเกลือ ซึ่งผ่านหน้าอุทยานฯ วิ่งบริการระหว่างเวลา 07.30-14.00 น. ท่ารถอยู่บริเวณสามแยกปัว-บ่อเกลือ
 
 
 
 
 
บ่อเกลือสินเธาว์

          พื้นที่บนยอดเขาสูงเสียดเมฆอย่างอำเภอบ่อเกลือ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นแหล่งเกลือที่มีความสำคัญมาแต่โบราณ เมืองน่านเป็นแหล่งเกลือขนาดใหญ่ ส่งเป็นสินค้าออกในภาคเหนือ โดย บ่อเกลือสินเธาว์ อยู่ห่างจากตัวเมืองน่าน 80 กิโลเมตร ชาวอำเภอบ่อเกลือนอกจากจะมีอาชีพทำนาทำไร่แล้วยังมีอาชีพทำเกลือสินเธาว์ อีกด้วย โดยมีแหล่งเกลือสินเธาว์อยู่บนภูเขา (บ่อเกลือจะปิดช่วงเข้าพรรษาเพราะเป็นช่วงฤดูฝน) 

          บ่อเกลือสำคัญในน่านมี 2 แห่ง คือบริเวณต้นน้ำว้า ซึ่งมีบ่อเกลือใหญ่ 2 บ่อ อีกแห่งคือบริเวณต้นน้ำน่าน มีบ่อใหญ่ 5 บ่อและมีบ่อเล็กบ่อน้อยอีกจำนวนมาก ปัจจุบันชาวบ้านยังคงต้มแกลือด้วยวิธีแบบดั้งเดิม จะตักน้ำเกลือจากบ่อส่งผ่านมาตามลำไม้ไผ่สู่บ่อพัก ก่อนจะนำน้ำเกลือมาต้มในกะทะใบบัวขนาดใหญ่เคี่ยวจนน้ำงวดแห้ง ใส่ถุงวางขายกันหน้าบ้าน เกลือเมืองน่านไม่มีไอโอดีนเหมือนเกลือทะเลจึงต้องมีการเติมสารไอโอดีนก่อน ถึงมือผู้บริโภค 

          บ่อเกลือสินเธาว์ อยู่ห่างจากตัวเมืองน่าน 80 กิโลเมตร ชาวอำเภอบ่อเกลือนอกจากจะมีอาชีพทำนาทำไร่แล้วยังมีอาชีพทำเกลือสินเธาว์ อีกด้วย โดยมีแหล่งเกลือสินเธาว์อยู่บนภูเขา (บ่อเกลือจะปิดช่วงเข้าพรรษาเพราะเป็นช่วงฤดูฝน)
  
 
 
 
 
 
เสาดินนาน้อย(ฮ่อมจ๊อม) และคอกเสือ

          เสาดินนาน้อย(ฮ่อมจ๊อม) และคอกเสือ อยู่ที่ตำบลเชียงของ ห่างจากตัวเมืองน่าน 60 กิโลเมตร จากอำเภอนาน้อยมีทางแยกไปตามเส้นทางหมายเลข 1083 ประมาณ 6 กิโลเมตร เป็นเสาดินที่มีลักษณะแปลกตาคล้าย "แพะเมืองผี" ที่จังหวัดแพร่ จากหลักฐานทางธรณีวิทยา พบว่าเสาดินนาน้อยเกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกในยุคเทอร์เชียรีตอนปลาย (late tertian) ประกอบกับการกัดเซาะของน้ำและลมตามธรรมชาติ นักธรณีวิทยาสันนิษฐานว่ามีอายุประมาณ 30,000-10,000 ปีมาแล้ว เคยเป็นก้นทะเลมาก่อน และจากหลักฐานการค้นพบกำไลหินและขวานโบราณที่นี่ (ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน) แสดงให้เห็นว่าบริเวณนี้อาจเคยเป็นแหล่งอาศัยของมนุษย์ยุคหินเก่า    
 
 
 
 
 
วัดหนองบัว
    
          วัดหนองบัว ตั้งอยู่ในหมู่บ้านหนองบัว ตำบลป่าคา ไปตามเส้นทาง 1080 เลี้ยวซ้ายที่ กม.40 ข้ามสะพานแล้วเข้าไปอีก 3 กิโลเมตร วัดหนองบัวเป็นวัดเก่าแก่ของหมู่บ้าน จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านทำให้สันนิษฐานได้ว่าวัดไทลื้อแห่ง นี้สร้างราว พ.ศ.2405 (ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 4) 

          ภาพจิตรกรรมฝาผนังในโบสถ์เล่าเรื่องหนึ่งในปัญญาสชาดก ซึ่งเป็นพระชาติหนึ่งของพระพุทธเจ้า สันนิษฐานว่าเขียนโดย "ทิดบัวผัน" ช่างเขียนลาวพวนที่บิดาของครูบาหลวงสุ ชื่อนายเทพ ซึ่งเป็นทหารของเจ้าอนันตยศ (เจ้าเมืองน่านระหว่างปี พ.ศ. 2395-2434) ได้นำมาจากเมืองพวน ในแคว้นหลวงพระบาง นอกจากนั้นยังมีนายเทพและพระแสนพิจิตรเป็นผู้ช่วยเขียนจนเสร็จ และยังมีภาพของเรือกลไฟ และดาบปลายปืนซึ่งเริ่มเข้ามาในประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่ 4 ถึงรัชกาลที่ 5 ภาพจิตรกรรมที่วัดหนองบัวแห่งนี้ได้สะท้อนให้เห็นสภาพความเป็นอยู่ของผู้คน ในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการแต่งกายของผู้หญิงที่นุ่งผ้าซิ่นลายน้ำไหลหรือผ้าซิ่นตีนจกที่ สวยงาม นับว่ามีคุณค่าทางศิลปะและความสมบูรณ์ของภาพใกล้เคียงกับภาพจิตรกรรมฝาผนัง ของวัดภูมินทร์ในเมืองน่าน นอกจากภาพจิตรกรรมแล้วที่ฐานพระประธานยังประดิษฐานพระพุทธรูปล้านนาองค์ เล็กอยู่หลายองค์ และยังมีบุษบกสมัยล้านนาอยู่ด้วย
 
 
 
 
วัดพระธาตุแช่แห้ง

          วัดพระธาตุแช่แห้ง เป็นปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่บนเนินทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่าน บริเวณที่เป็นศูนย์กลางเมืองน่านเดิม หลังจากที่ย้ายมาจากเมืองปัว วัดพระบรมธาตุแช่แห้ง สร้างในสมัยเจ้าพระยาการเมือง (เจ้าผู้ครองนครน่านระหว่าง พ.ศ.1869-1902) เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระมหาชินธาตุเจ้า 7 พระองค์ พระพิมพ์เงินและพระพิมพ์ทอง ที่ได้รับพระราชทานจากพระมหาธรรมราชาลิไท เมื่อครั้งที่เจ้าพระยาการเมืองเสด็จไปช่วยสร้างวัดหลวงอภัย (วัดป่ามะม่วง จังหวัดสุโขทัยในปัจจุบัน) ในปีพ.ศ. 1897

          องค์พระธาตุเป็นเจดีย์ทรงระฆัง รูปแบบของพระธาตุแช่แห้งสันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลจากเจดีย์พระธาตุหริ ภุญไชย โดยรอบองค์บุด้วยทองจังโก (ทองดอกบวบ ทองเหลืองผสมทองแดง) ทางขึ้นสู่องค์พระธาตุเป็นตัวพญานาค หน้าบันเหนือประตูทางเข้าพระวิหารเป็นปูนปั้นลายนาคเกี้ยว ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของศิลปกรรมเมืองน่าน

          พระธาตุแช่แห้งเป็นพระธาตุประจำปีเถาะ ชาวล้านนาเชื่อว่า หากได้เดินทางไป "ชุธาตุ" หรือนมัสการพระธาตุประจำปีเกิดจะได้รับอานิสงส์อย่างยิ่ง นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมวัดพระธาตุแช่แห้งได้ทุกวัน ระหว่างเวลา 06.00-18.00 น. 

          การเดินทาง : วัดพระบรมธาตุแช่แห้ง ตั้งอยู่ที่ตำบลม่วงตึ๊ด จากตัวเมืองข้ามสะพานแม่น้ำน่าน ไปตามเส้นทางสายน่าน-แม่จริม หรือทางหลวงหมายเลข 1168 ประมาณ 3 กิโลเมตร
 
 
 
 
วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร
    
          วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ถนนสุริยพงษ์ ตรงข้ามสำนักงานเทศบาลเมืองน่าน เดิมเรียก "วัดหลวง" หรือ "วัดหลวงกลางเวียง" สร้างขึ้นในสมัยเจ้าปู่แข็ง พ.ศ. 1949 เป็นวัดหลวงในเขตนครน่าน สำหรับเจ้าผู้ครองนครใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีสำคัญทางพุทธศาสนาและพิธีถือ น้ำพิพัฒน์สัตยา ตามศิลาจารึกหลักที่ 74 ซึ่งถูกค้นพบภายในวัดกล่าวว่า พญาพลเทพฤาชัย เจ้าเมืองน่านได้ปฏิสังขรณ์บูรณะวิหารหลวงเมื่อ พ.ศ. 2091

          ลักษณะสถาปัตยกรรมของวัดพระธาตุช้างค้ำนี้สะท้อนให้เห็นอิทธิพลของศิลปะสุโขทัย อาทิ เจดีย์ทรงลังกา (ทรงระฆัง) รอบฐานองค์พระเจดีย์ก่ออิฐถือปูนและปั้นเป็นรูปช้างครึ่งตัว ด้านละ 5 เชือก และที่มุมทั้งสี่อีก 4 เชือก ดูคล้ายจะเอาหลังหนุน หรือ "ค้ำ" องค์เจดีย์ไว้ ลักษณะคล้ายวัดช้างล้อม จังหวัดสุโขทัย และภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปสำริดยืนปางประทานอภัย อายุราวครึ่งหลังพุทธศตวรรษที่ 19 ตรงกับสมัยสุโขทัยตอนปลาย มีลักษณะคล้ายพระพุทธรูปปางประทานอภัยที่วัดราชธานี จังหวัดสุโขทัย พระประธานเป็นปูนปั้นขนาดใหญ่ศิลปะเชียงแสน ฝีมือสกุลช่างน่านที่มีพุทธลักษณะงดงามยิ่งของเมืองน่าน
 
 
 
 
 
วัดภูมินทร์

          เป็นวัดหลวง ตั้งอยู่ในเขตพระนครดังปรากฏชื่อตำบลในเวียงในปัจจุบัน อยู่ใกล้กับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดน่าน ตามพงศาวดารของเมืองน่าน พระเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ เจ้าผู้ครองนครน่านได้สร้างวัดภูมินทร์ขึ้น หลังจากที่ครองนครน่านได้ 6 ปี เมื่อ พ.ศ.2139 มีปรากฏในคัมภีร์เมืองเหนือว่าเดิมชื่อ "วัดพรหมมินทร์" แต่ตอนหลังชื่อวัดได้เพี้ยนไปจากเดิมเป็น "วัดภูมินทร์"

          จุดเด่นของวัดนี้คือเป็นวัดที่สร้างทรงจตุรมุขหนึ่งเดียวในประเทศไทย ที่ดูคล้ายตั้งอยู่บนหลังพญานาค 2 ตัว อาคารนี้เป็นทั้งพระอุโบสถ พระวิหาร และพระเจดีย์ประธาน โดยใช้อาคารในแนวตะวันออก-ตะวันตกเป็นพระวิหาร และอาคารแนวเหนือ-ใต้ เป็นพระอุโบสถ รัฐบาลไทยเคยพิมพ์รูปวัดภูมินทร์ในธนบัตรใบละ 1 บาท ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และเมืองโบราณ จังหวัดสมุทรปราการ ได้จำลองพระวิหารหลังนี้ไว้ด้วย

          สามร้อยปีต่อมา วัดภูมินทร์ ได้รับการบูรณะครั้งใหญ่สมัยเจ้าอนันตวรฤทธิเดช เมื่อ พ.ศ.2410 (ปลายสมัยรัชกาลที่ 4) ใช้เวลาซ่อมนานถึง 7 ปี จิตรกรรมฝาผนังในวิหารหลวงก็เขียนขึ้นในช่วงนี้ ภาพจิตรกรรมหรือ "ฮูบแต้ม" ในวัดภูมินทร์เป็นชาดกในพุทธศาสนา แต่ถ้าพิจารณารายละเอียดของวิถีชีวิตของคนเมืองในสมัยนั้น มีภาพที่น่าสนใจอยู่หลายภาพ เช่น ภาพธรรมเนียมการอยู่ข่วง ของชาวไทลื้อ พ่อแม่จะอนุญาตให้หนุ่มสาวพบปะกันที่ชานบ้านในเวลาค่ำ ขณะหญิงสาวกำลังปั่นฝ้าย หรือ "อยู่ข่วง" หากสาวเจ้าตกลงปลงใจด้วยก็จะจัดพิธีแต่งงาน หรือที่เรียกว่า "เอาคำ ไปป่องกั๋น" หรือเป็นทองแผ่นเดียวกัน การค้าขายแลกเปลี่ยนในชุมชน ภาพชาวพื้นเมือง ซึ่งอาจเป็นชาวเขา "เป๊อะ" ของป่าบนศรีษะ เพื่อนำมาแลกเปลี่ยนกับคนเมือง ภาพปู่ม่าน ย่าม่าน ภาพนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นภาพที่งามเป็นเยี่ยมของวัดภูมินทร์ มีการใช้สีแดง ฟ้าดำ น้ำตาลเข้มเป็นปื้นใหญ่ ๆ คล้ายภาพสมัยใหม่

          ชีวิตความเป็นอยู่ของคนเมืองน่าน หญิงสาวกำลังทอผ้าด้วยกี่พื้นเมือง นอกชานมีเรือนเล็ก ๆ ตั้งหม้อน้ำดินเผาที่เรียกว่า "ร้านน้ำ" ส่วนชายหนุ่มไว้ผมทรงหลักแจวหรือทรงมหาดไทย แสดงให้เห็นอิทธิพลตะวันตกที่เข้ามาผสมผสานในวิถีพื้นเมืองน่าน ภาพชาวต่างประเทศ ที่เข้ามาเมืองน่านช่วงรัชกาลที่ 5 ทรงผม และเครื่องแต่งกายของผู้หญิงเป็นรูปแบบเดียวกับที่กำลังเป็นที่นิยมในยุโรปขณะนั้น


 


 ข้อมูลการเดินทางของ "น่าน"

          รถยนต์

          จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 32 มาจนถึงจังหวัดนครสวรรค์ จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 117 มาจนถึงจังหวัดพิษณุโลกและใช้ทางหลวงหมายเลข 11 โดยจะผ่านจังหวัดอุตรดิตถ์ และอำเภอเด่นชัย (จังหวัดแพร่) จากเด่นชัยใช้ทางหลวงหมายเลข 101 ผ่านจังหวัดแพร่ไปจนถึงตัวจังหวัดน่าน รวมระยะทางประมาณ 668 กิโลเมตร

          รถไฟ

          จากสถานีรถไฟกรุงเทพฯ (หัวลำโพง) ไปลงที่อำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่ แล้วจึงต่อรถโดยสารประจำทางมาที่จังหวัดน่าน ระยะทาง 142 กิโลเมตร รายละเอียดติดต่อหน่วยบริการเดินทาง การรถไฟแห่งประเทศไทย โทร. 0 2223 7010, 0 2223 7020, 1690 www.railway.co.th

          รถโดยสารประจำทาง

          สถานีขนส่งสายเหนือ ถนนกำแพงเพชร 2 (หมอชิต 2) มีรถโดยสารประจำทางทั้งรถโดยสารธรรมดา และรถโดยสารปรับอากาศไปจังหวัดน่านทุกวัน ติดต่อ บริษัท ขนส่ง จำกัด โทร. 0 2936 2852-66 หรือ www.transport.co.th และมีบริษัทเอกชนหลายแห่งที่บริการเดินรถไปจังหวัดน่าน ติดต่อ แพร่ทัวร์ โทร. 0 2245 2369, 0 2245 1697 และ 0 2936 3720 สมบัติทัวร์ โทร. 0 2936 2495-6 และ 0 5471 0122 เชิดชัยทัวร์ โทร. 0 5471 0362, 0 2936 0199 

              โดยสารเครื่องบิน : www.nokair.com